นานมาแล้ว ยังมีชายชราผู้มั่งมีคนหนึ่ง แซ่จางมีบุตรสาวอยู่สามคน คนโตมีนามว่า “จิงเซียง”(แปลว่าทองคำหอม) คนกลางมีนามว่า “หยินเซียง” (แปลว่าเงินหอม) ส่วนคนเล็กมีนามว่า “เหอเซียง”(แปลว่าความปรองดองหอม)
อยู่มาวันหนึ่งผู้เป็นบิดาเรียกบุตรสาวทั้งสามคนเข้ามาหา โดยได้ตั้งคำถามข้อหนึ่งต่อนางทั้งสามคนให้ตอบเพื่อแสดงความคิดเห็น คำถามข้อนี้มีอยู่ว่า “ลูกเอ๋ย เจ้าคิดว่าอะไรเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกนี้?”
บุตรสาวคนโตตอบโดยไม่ต้องรีรอ “ทองคำค่ะ” เฉกเช่นเดียวกันกับบุตรสาวคนที่สอง “หนูคิดว่าเงินค่ะพ่อ” ผู้เป็นพ่อยิ้มพร้อมพยักหน้า คราวนี้ผู้เป็นพ่อหันหน้ามาทางลูกสาวคนเล็ก ลูกสาวคนเล็กนิ่งอยู่พักหนึ่งจึงตอบว่า “หนูคิดว่าความปรองดองมีค่ามากที่สุดค่ะ” คราวนี้ผู้เป็นพ่อถึงกับส่ายหน้า
เวลาผ่านไปหลายวันผู้เป็นพ่อเรียกบุตรสาวทั้งสามคนมาพบอีก สำหรับจิงเซียงผู้เป็นพ่อได้มอบถุงเล็กๆ ใบหนึ่งให้ ภายในถุงบรรจุทองคำไว้จำนวนหนึ่ง ส่วนหยินเซียงผู้เป็นพ่อมอบถุงเล็กๆ ใบหนึ่่่่่่่่่่่่่่่งให้เช่น เดียวกันภายในบรรจุเงินไว้ให้ ครั้นถึงบุตรสาวคนเล็กเหอเซียงผู้เป็นพ่อมอบถุงว่างเปล่าใบหนึ่งให้ เสร็จแล้วพ่อก็กล่าวกับบุตรสาวทั้งสามว่า “เอาละลูก พ่อคิดว่าถึงเวลาแล้วที่เจ้าทั้งสามควรจะออกเรือนได้แล้ว เจ้าทั้งสามจงไปหาคู่ครองที่เจ้าคิดว่าเหมาะสมที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเจ้าเถอะ” จากนั้นได้หันหน้ามายังบุตรสาวคนเล็ก พร้อมทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำแสดงความห่วงใยว่า “เจ้าเด็กโง่ ข้าได้แต่ภาวนาว่าสวรรค์จะเมตตาเจ้า ช่วยเหลือเจ้าให้ได้พบสามีที่ชาญฉลาดด้วยเถอะ”
ด้วยถุงทองคำที่ผู้เป็นพ่อมอบให้ จิงเซียงจึงได้แต่งงานกับชายที่มีฐานะมั่งคั่ง หยินเซียงได้แต่งงานกับผู้ชายที่มีฐานะอันจะกิน ส่วนเหอเซียงนั้นได้รับถุงว่างเปล่า เธอจึงได้แต่ก้มหน้าเดินท่องไปตามท้องถนน อยู่มาเย็นวันหนึ่ง เธอได้เดินมาถึงริมห้วยสายหนึ่งในหุบเขา เธอทรุดตัวลงบนก้อนหินก้อนหนึ่งด้วยความหิวและอ่อนล้า น้ำตาไหลอาบลงแก้มทั้งสองข้าง เวลาผ่านไปพักใหญ่ มีชายหนุ่มร่างกายกำยำคนหนึ่งเดินผ่านมา ชายผู้นี้มีนามว่าเจ้าอูฐเท่อ ชายหนุ่มเห็นหญิงสาวน้ำตานองหน้า นั่งอยู่บนก้อนหินเพียงลำพัง ด้วยความห่วงใยเขาจึงเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยทักว่า “แม่นาง! ไฉนจึงมานั่งร้องไห้อยู่ที่นี่เพียงลำพังล่ะ?” แม่นางเหอเซียงหาได้ตอบไม่ ได้แต่ส่ายหน้าสะอื้นไห้ เจ้าอูฐเท่อจึงพูดว่า “หรือว่าแม่นางคงจะหิวใช่หรือไม่? กระท่อมข้าอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ถ้าเจ้าหิว ก็สามารถจะไปกินข้าวที่กระท่อมข้าได้นะ” เหอเซียงไม่มีเรี่ยวแรงจะตอบ ได้แต่พยุงกายขึ้นค่อยๆ เดินตามเจ้าอูฐเท่อไป เจ้าอูฐเท่อเดินพลางชี้ไปข้างหน้าว่า “แม่นางเห็นกระท่อมที่อยู่ข้างหน้านั่นไหม? นั่นละบ้านข้า อดทนอีกนิดก็จะถึงแล้ว”
เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว เจ้าอูฐเท่อจึงได้ถามเหอเซียงว่า “แม่นางคิดว่าจะเดินทางต่อหรือไม่? หากจะเดินทางต่อข้าจะไปเป็นเพื่อนหรือว่าหากเหนื่อยล้า แม่นางก็สามารถจะค้างคืนที่นี่ได้นะ แม่นางนอนในกระท่อมนี้ ส่วนข้าจะนอนด้านนอกกระท่อมถัดจากเตาไฟนั้น”
เช้าวันรุ่งขึ้นภายหลังจากอาหารเช้า เจ้าอูฐเท่อก็ออกไปถางป่าพื้นดินที่รกร้าง เมื่อกลับมาถึงกระท่อมตอนพลบค่ำ ก็พบว่าอาหารมื้อเย็นได้ถูกตระเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว กาลเวลาผ่านไปมิตรภาพของทั้งสองก็เริ่มทักทออย่างแน่นแฟ้น ต่างฝ่ายต่างจึงเปิดเผยเล่าความเป็นมาในอดีตให้กันและกันฟัง เมื่อเหอเซียงได้เล่าให้เจ้าอูฐเท่อฟังถึงว่าพี่สาวคนโตได้รับถุงบรรจุทองคำและพี่สาวคนรองได้รับถุงบรรจุเงินจากบิดา เจ้าอูฐเท่อจึงได้ถามนางว่าทองคำและเงินหน้าตาเป็นอย่างไร
“ทองคำมันส่งลำแสงสีทองแวววาว ส่วนเงินนั้นมันส่งแสงสีขาวแวววาว” นางกล่าว
เจ้าอูฐเท่อจึงกล่าวว่า “โธ่! ใครว่าสิ่งเหล่านี้หายาก ในถ้ำที่หุบเขาที่ข้าไปตัดฟืน ข้าเห็นมันมีตั้งหลายกองอยู่มากมาย ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าจะพาเจ้าไปดูให้เห็นกับตา”
เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งสองจึงรุดไปยังถ้ำบริเวณที่เจ้าอูฐเท่อตัดฟืน แน่นอนเหอเซียงมองเห็นทองคำและเงินมากมายหลายกองอยู่ภายในถ้ำ ทั้งสองจึงได้หยิบทองคำและเงินส่วนหนึ่งกลับมายังกระท่อม จากนั้นก็ได้หาซื้ออิฐและไม้มาปลูกสร้างบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งที่ดูดีและแข็งแรง ส่วนบนคานของประตูใหญ่นั้นทั้งสองได้วางไหใบหนึ่งบรรจุทองคำและเงินเอาไว้
เวลาผ่านไปไม่นานทั้งสองได้ตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขยิ่ง ครั้นเวลาผ่านไปหลายปี พ่อเถ้าจางก็ตัดสินใจว่าจะไปเยี่ยมบุตรสาวทั้งสามคน อีกด้านหนึ่งก็เพื่อต้องการจะดูว่าบุตรสาวคนไหนที่มีชีวิตและฐานะดีที่สุด เขาพบว่าบุตรสาวคนโตมีชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีมาก ส่วนคนรองก็ทำได้ดีเช่นเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงเดินทางมุ่งหน้าไปเยี่ยมบ้านบุตรสาวคนเล็ก เมื่อเดินมาถึงบ้านบุตรสาวคนเล็ก พ่อเถ้าจางเกิดความไม่พึงพอใจยิ่งนัก เนื่องจากถูกพาเข้าบ้านทางประตูเล็กด้านข้าง เมื่อบุตรสาวและบุตรเขยนำสุราอาหารมาเลี้ยง พ่อเถ้าจางก็ไม่มีอารมณ์กินยังคงโมโหโกรธาที่ไม่ได้รับเกียรติให้เข้าบ้านทางประตูใหญ่
เช้าวันรุ่งขึ้นพ่อเถ้าจางได้กล่าวกับบุตรสาวและบุตรเขยว่า “พวกเจ้าไม่ต้องวุ่นวายที่จะออกไปส่งข้า ประตูใหญ่อยู่ตรงไหน ข้าจะออกไปเองทางประตูใหญ่” บุตรสาวพยายามอธิบายว่า “พ่อคะ! ประตูใหญ่บ้านเราไม่เปิดหรอกค่ะ” แต่พ่อเถ้าจางยืนกรานต้องเปิดประตูใหญ่ให้ได้และจะเดินออกทางประตูนี้เท่านั้น และแล้วเมื่อเขาเปิดบานประตูใหญ่ออก ไหที่บรรจุทองคำและเงินซึ่งวางอยู่บนคานประตูก็ได้เทลงมาดั่งสายฝน พ่อเถ้าจางจึงได้เห็นความจริงที่ว่าความปรองดองเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดเพราะมันสามารถบันดาลให้ชีวิตครอบครัวมีความสุข เมื่อชีวิตมีความสุขก็สามารถหาเงินหาทองได้
ฉะนั้นกาลเวลาต่อมา ชาวจีนจึงมีคำสอนบุตรหลานว่า “he wei gui” ซึ่งแปลว่า “ความปรองดองคือสิ่งล้ำค่า” เพื่อให้บุตรหลานปฏิบัติต่อกันและกันอย่างใส่ใจและมีเมตตากรุณา
จากเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า "ความปรองดอง คือสิ่งล้ำค่า"
ความปรองดอง คือสิ่งล้ำค่า (ภาษาจีนเขียนว่า 和为贵 อ่านว่า hé wéi guì)